โดย Thiravat Hemachudha
•
27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha