โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย (ตอนที่ 1)

Thiravat Hemachudha • 21 มกราคม 2567

โดย: ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



เรื่องราวมากมายที่เราต้องทราบ ถึงที่มาของการเกิดโรคระบาดโควิดทั่วโลกและทำให้คนเสียชีวิตหลาย 10 ล้านคน และมีภาวะแทรกซ้อนติดตามต่อมามากมายมหาศาล

ทั้งนี้เพื่อหาคนรับผิดชอบ มีใครได้รับผลประโยชน์ ทั้งนี้มีการสืบสวนและสอบสวนในหลายประเทศรวมทั้งในรัฐสภาสหรัฐฯซึ่งกลายเป็นต้นตอของเรื่องโควิด และเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ต้องไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำ

ลำดับเหตุการณ์เหล่านี้มาจากศูนย์ของเราที่อยู่ในวงจรนี้ และหลังจากที่ได้เริ่มรับทราบความจริง จึงได้ยุติอย่างสิ้นเชิง

ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน รับผิดชอบโครงการที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2020 และยุติโครงการทั้งหมด รวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้ด้วยเหตุผลของความปลอดภัยและการเกิดโรคระบาดในประเทศ

ทั้งนี้ ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ผ่านทางกระทรวงกลาโหม DARPA BTRA NIH NIAID USAID และองค์กร Eco Health alliance ซึ่งเชื่อมโยงกับทั้งหมด และที่นี้ การกล่าวถึงองค์กรใดๆจะหมายถึงเครือข่ายนี้ทั้งหมด

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ยังเกี่ยวพันกับทุนที่ให้กับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น ย้อนหลังไปถึง 10 ปีก่อนหน้าการเกิดโควิด จากการเปิดเผยในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2023 ห้องชีวนิรภัยระดับสี่ของอู่ฮั่นนั้น ตั้งขึ้นได้จากฝรั่งเศสออกแบบ แคนาดาส่งตัวอย่างไวรัสร้ายแรง และได้ทุนจาก NIAID สหรัฐฯ โดยมีการวิจัยสร้างไวรัสร้ายแรงต่างๆ รวมทั้งไวรัสกลุ่มโคโรนา (ซึ่งโควิด อยู่ในกลุ่มนี้) โดยมีรายงานความบกพร่องในระบบความปลอดภัยมาตลอด

ปี 2016 กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ได้เตือน NIH ถึงการปฏิบัติการปรับแต่งไวรัส แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง เดือนตุลาคม 2017 เจ้าหน้าที่จาก NIAID ได้มาที่สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น และได้รับรู้ถึงกระบวนการ ปรับแต่งไวรัส Ebola และความไม่พร้อมของห้องชีวนิรภัยระดับสี่

โดยได้แจ้ง F Gray Hadley NIAID รวมทั้งสถานทูตสหรัฐฯกรุงปักกิ่งในวันที่ 19 มกราคม 2018 แต่การแจ้งเตือนเกี่ยวกับการปรับแต่งไวรัสนั้นไม่ถูกระบุเพราะเกรงว่าความร่วมมือระหว่าง NIH และอู่ฮั่นจะถูกระงับ

ในวันที่ 31 มีนาคม 2019 เจ้าหน้าที่จากประเทศแคนาดาจาก Toronto, Pearson, International Airport เที่ยวบิน AC 031 ได้นำตัวอย่างไวรัส Ebola 12 สายพันธุ์เป็นจำนวน 24 หลอดและไวรัสนิปาห์เป็นจำนวน 6 หลอด ใส่ในภาชนะน้ำแข็งแห้ง 33 ปอนด์ โดยส่งมาจากห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับสี่ Winnipeg

Dan Brouillette Deputy secretary กระทรวงพลังงานได้เตือน Fauci ถึงการที่ช่วยสถาบันไวรัสอู่ฮั่น ในการวิจัยไวรัสโคโรนา จะเสี่ยงต่ออันตรายและจะกลายเป็นการคุกคามทางทหาร และไม่ได้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาอย่างเดียวที่สถาบันไวรัสอู่ฮั่น แต่ยังรวมถึงการวิจัยที่หน่วยงานสหรัฐฯร่วมมือปฏิบัติกับกลุ่มอื่นๆในประเทศจีน

แต่ทั้งนี้ Fauci ได้กล่าวว่าไม่ได้มีความเชื่อมโยงดังกล่าว

ทั้งนี้มีการสัมภาษณ์มากกว่า 60 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รวมทั้งมีหลักฐานจากกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการระบาดโควิด โดยได้มีหมายสอบสวน และพบเอกสารทางอีเมลระหว่างเจ้าหน้าที่ ของ NIH และองค์กรต่างๆ

หลังจากการแพร่ระบาดโควิด ในปี 2019 ในเดือนกรกฎาคม 2023 USAID NIH ได้ยุติโครงการ 125 ล้านเหรียญ DEEP VZN (discovery and extrapolation of emerging pathogens Viral Zoonoses) ซึ่งรวบรวมไวรัสจากสัตว์ป่า และค้างคาว จากที่ต่างๆทั่วโลกและเพื่อคาดคะเนว่าไวรัสตัวไหนจะก่อให้เกิดการระบาดทั่วโลก และยุติการให้ทุนต่อสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นในปัจจุบัน และต่อเนื่องไปถึงอีก 10 ปี

บันทึกฉบับจริงถึงผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น วันที่ 17 กรกฎาคม 2023 ยุติการให้ทุนและต่อเนื่องไปอีก 10 ปี มีการเปิดเผยชัดเจนจากรัฐสภา

ทั้งนี้ ทุนวิจัยดังกล่าวได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2014 จนถึง 2020 และสาเหตุสำคัญที่ยุติก็คือ การกระทำผิดทางวิจัย ก่อให้เกิดแล้ว หรือมีความเสี่ยงให้เกิดอันตราย โดยทำให้ไวรัสมีความร้ายแรงมากขึ้นกว่าที่กำหนดในโครงการ

ทั้งนี้ บันทึกมีสำเนาส่งถึงด็อกเตอร์ Zhengli Shi ที่ทราบในนาม Bat Lady ด้วย

ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2023 มีการเปิดเผยถึงนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันไวรัสอู่ฮั่นที่น่าจะมีส่วนในการระบาดของโควิด เสียชีวิตโดยตกจากตึกของสถาบัน

ดร.Steven Quay หมอและนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อโดยมีผลงานตีพิมพ์กว่า 360 ชิ้น และคิดค้นยารักษาที่ผ่านการรับรองจาก อย. สหรัฐฯ 7 รายการ และถือสิทธิบัตร 90 รายการ และเชี่ยวชาญด้าน RNA เทคโนโลยี เป็นคนแรกๆ ที่ให้หลักฐานแก่กรรมมาธิการสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 26 มิถุนายน 2021

หลักฐานที่ให้โดยสังเขป ประการที่หนึ่งได้แก่ ไวรัสแรกเริ่มนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในคนที่ตลาดสด แต่เป็นคนที่รับตัวเข้าโรงพยาบาลที่ห่างจากสถาบันไวรัสอู่ฮั่น 3 กิโลเมตร เป็นผู้ชายอายุ 39 ปี และการถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิดอีก 3 ล้านตัวอย่าง ไวรัสจากชายคนดังกล่าวถือเป็นไวรัสต้นตอที่สุด

ประการที่สอง การค้นหาไวรัสโควิดในน้ำและสิ่งแวดล้อมที่ตลาดสดนั้นไม่พบเลย ประการที่สาม การตรวจหาไวรัสโควิดในสัตว์นานาชนิด 80,000 ตัวอย่าง ไม่พบไวรัสโควิดเช่นเดียวกัน และประการที่สี่ เลือดในธนาคารเลือด 9,952 ตัวอย่าง ก่อนเดือนธันวาคมปี 2019 ไม่พบหลักฐานของการติดโควิด

โควิดมีลักษณะพิเศษที่สามารถเข้ามนุษย์จากการที่มี furin cleavage site และ dimer code (CGG-CGG dimer) ที่ไวรัสอื่นๆในกลุ่ม Sarbeco ไม่มี ได้แก่ SARS-CoV1 Bat-SARS like coronavirus WIV1 bat coronavirus RaTG13 และ bat strains อื่นๆ ที่ไม่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ มาอย่างน้อย 1,000 ปี

ลักษณะพิเศษของตำแหน่งนี้ใช้ในการพัฒนาสร้างไวรัสใหม่ gain of function ตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งทั้ง ดร.Shi และ Daszak ก็ยอมรับว่า ไม่มี กระบวนการตามธรรมชาติที่โควิดจะมีตำแหน่ง furin site พิเศษนี้

คำถามต่อไป เป็นไปได้หรือไม่ ที่ไวรัสโคโรนาจากธรรมชาติ จะผสมรวมกันหรือ recom bination ทำให้เกิดโควิด ทั้งนี้ กระบวนการเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้น เนื่องจากระหว่างกลุ่มของไวรัสโคโรนา จะมีกลไกที่ต่อต้านการควบรวมหรือการที่มี hot spots ต่างกัน

โควิดถูกปรับแต่งมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้มีความสามารถในการแพร่จากคนสู่คน ทั้งนี้ ส่วนของโควิด ที่เกาะติดและเข้าสู่เซลล์มนุษย์ได้นั้นมีความพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้วถึง 99.5%.


หมอดื้อ


 
Source: Facebook Thiravat Hemachudha





โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม