โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย (ตอนที่ 4)

Thiravat Hemachudha • 11 กุมภาพันธ์ 2567

โดย: ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ศาสตราจารย์ Jeffrey Sachs ประธานแลนเซทคอมมิชชัน ได้ตีพิมพ์บทความในวารสารแลนเซท ในวันที่ 8 ตุลาคม 2022 และได้เปิดโปงการโกหกหลอกลวงตั้งแต่ปี 2020 จนกระทั่งถึงปี 2021 และมีการจับได้และพร้อมกันนั้นมีรายงานจากรัฐสภาสหรัฐฯฉบับเบื้องต้นในเดือนตุลาคม 2022 เปิดเผยหลักฐานถึงการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่ตั้งแต่หลังเกิดโรคซาร์ส ในปี 2003

Sachs ยังได้เปิดเผยการปกปิดข้อมูลและการสร้างไวรัสใหม่ที่ยังคงทำต่อถึงปัจจุบันในหลายประเทศทั่วโลก Sachs เป็นคนที่มีชื่อเสียงและไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีบทบาทสำคัญด้วยในการสร้างเสถียรภาพของโลก โดยกล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติในสภาความมั่นคงในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2023 ในเรื่องที่ต้องยุติสงครามหยุดส่งอาวุธและเงิน

Sachs ได้เปิดเผยใน YouTube ในปี 2022 เรื่องการโกหก ปกปิด ปิดบัง และในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2023 ได้ตอกย้ำเรื่องการศึกษาวิจัยสร้างใหม่ ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

สรุปโดยสังเขปการปกปิดข้อมูลตั้งแต่ต้น และไม่มีหลักฐานชัดเจนใดๆ สนับสนุนการกำเนิดจากธรรมชาติ และเป็นความร่วมมือของสหรัฐฯกับสถาบันไวรัสอู่ฮั่น โดยได้ทุนจากสหรัฐฯเอง และการสนับสนุนการศึกษาเหล่านี้ ยังให้กับหลายประเทศทั่วโลก รายงานที่สนับสนุนว่าไวรัสมาจากการตกแต่งพันธุกรรม มีรายงานในวารสารทางวิทยาศาสตร์ในปี 2022 รวมทั้งการจดสิทธิบัตรของสหรัฐฯเอง ในตำแหน่งที่ตัดต่อเข้าไปในโควิดเพื่อให้รุนแรงขึ้น

โควิดเกิดจากห้องแล็บจากข้อมูลการสืบสวนของกรรมการรัฐสภาสหรัฐฯและได้ข้อมูลชัดเจนจากการที่มีกฎหมายความโปร่งใส โดยประเด็นแรกก็คือคนป่วยไม่ได้ไปที่ตลาดสด แต่เกิดอยู่ใกล้กับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น ตั้งแต่ตุลาคม 2019 และไม่พบสัตว์ตัวกลางใดๆตามหลักวิวัฒนาการของไวรัสอุบัติใหม่ และค้างคาวมงกุฎที่ระบุว่าเป็นตัวการของโควิดนั้นพบว่าเป็นไวรัสใกล้โควิด แต่ไม่ใช่โควิดและไม่เข้าคน นอกจากนั้นถ้าเกิดจากธรรมชาติจริงต้องมีการผ่านสัตว์ตัวกลาง รวมทั้งต้องเป็นบริเวณที่กว้าง ขวางก่อนที่กลายเป็นโรคระบาดในคน และต้องพบในระยะเวลาต่างๆ ดังตัวอย่างเช่น ไข้หวัดนก หรือโรคเมอร์ส หรือซาร์สก็ตาม

โควิดระยะแรกเริ่มนั้น เกิดในเวลาเดียวกัน ที่เดียวกัน ในพื้นที่เล็กๆก่อน ตั้งแต่ต้นโดยเป็นตัวที่มีความสมบูรณ์เต็มที่ในการแพร่จากคนสู่คน และไวรัสโควิดตัวตั้งต้นนั้นมีความหลากหลายของรหัสพันธุกรรมน้อยมาก เพียงสองนิวคลีโอไทด์จาก 29,900 ตัว

นอกจากนั้นไม่พบโควิดในพื้นที่ตลาดสดและดังที่ได้กล่าวแล้วไม่พบในสัตว์ชนิดต่างๆใน 80,000 ตัวอย่าง... ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2018 สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นกับ EHA ได้มีการพยายามหาไวรัสโคโรนา ที่คล้าย SARS และมีตำแหน่ง furin cleavage site ตามธรรมชาติ แต่ไม่พบและนำไปสู่ความตั้งใจที่จะสร้างไวรัสใหม่ขึ้น

ตั้งแต่ปี 2015 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่อู่ฮั่นได้ทำการใส่รหัสพันธุกรรมที่สังเคราะห์ขึ้น เข้าไปในไวรัสกลุ่มอัลฟาโคโรนา (คนละกลุ่มกับโควิด) และในปี 2019 นักวิจัยในประเทศจีนทำการใส่ furin cleavage site ที่เป็นกรดอะมิโนสี่ตัวเข้าไปในไวรัสโคโรนาที่ก่อโรคในไก่และประเมินว่าเข้ามนุษย์ได้เพียงใด โดยในการสัมภาษณ์ในวารสาร Science ของสหรัฐฯ ดร.Shi ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการใช้ไวรัสที่ตกแต่งพันธุกรรมทำให้ติดเชื้อและก่อโรครุนแรงแก่หนูและตัวชะมดที่ปรับแต่งให้คล้ายมนุษย์

ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2018 จนกระทั่งถึงปี 2019 มีรายงานระบุถึงความบกพร่องในระบบการรักษาความปลอดภัยที่สถาบันไวรัสอู่ฮั่นและมีการประกาศจากรัฐบาลจีนให้มีความเข้มงวดตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ มีรายงานเกี่ยวกับการควบคุมอากาศ ไม่ให้มีการรั่วไหลของไวรัสในห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ในวันที่ 24 เมษายน วันที่ 14 สิงหาคม วันที่ 16 กันยายน วันที่ 19 พฤศจิกายน และวันที่ 11 ธันวาคม ทั้งหมดในปี 2562 และวันที่ 13 พฤศจิกายนในปี 2563 ในรายงานนั้นมีแผนที่แสดงการเกิดผู้ติดเชื้อครั้งแรกอยู่ใกล้กับสถาบันไวรัสอู่ฮั่น แทนที่จะเป็นตลาดสด

เมื่อเทียบกับจุดระบาดของซาร์ส ในปี 2002 และ 2003 นั้น พบว่ามีการกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่หลายแห่งหลายเมือง การสำรวจไวรัสจากค้างคาวมงกุฎที่ถือกันว่าเป็นต้นกำเนิดของโควิด ก็ไม่พบโควิดและค้างคาวที่มีไวรัสคล้ายโควิดนั้น พบในพื้นที่ห่างไกลจากอู่ฮั่นเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตร โดยพบที่มณฑลยูนนานในจีนตอนใต้ และประเทศลาว

ในรายงานแสดงพื้นที่ที่พบไวรัสที่คล้ายโควิด แต่ไม่ใช่โควิด และแสดงถึงวิวัฒนาการที่จะกลายเป็นโควิดนั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปี

การสืบสวนของรัฐสภาสหรัฐฯในเรื่องของการปิดบังข้อมูลยังมีในสรุปวันที่ 5 มีนาคม 2023 และนอกจากนั้นยังมีการพบหลักฐาน รายงานในวารสารวิทยาศาสตร์มากมาย ในระยะต่อมาหลังจากที่มีการระบาดของโควิด และมีการใช้วัคซีน โดยพบว่าวัคซีนโควิด mRNA หลังจากฉีดไปแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งที่ฉีดอย่างเดียว ดังที่มีการยืนยันจากบริษัทวัคซีน แต่สามารถแพร่ไปในเลือด และอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลานาน และสามารถเข้าเซลล์ของทุกอวัยวะในร่างกายและผลิตโปรตีนออกมา รวมทั้งผลที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งในระยะเฉียบพลันและในระยะยาว

บทความทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงลำดับของอาร์เอ็นเอ 19 ตัวที่ครอบคลุม furin cleavage site ของไวรัสโควิด และมีความเหมือน 100% กับรหัสของมนุษย์ในส่วน MSH3 mRNA (DNA mismatch excision repair) รายงานฉบับนี้ตีพิมพ์ จากนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ หลายสถาบัน สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี อินเดีย และระบุสิทธิบัตรที่ได้จดไว้แล้วก่อนหน้าเกิดโควิดด้วยซ้ำ

ในรายงานมีรูปแสดงถึงลำดับสารพันธุกรรมที่ปรากฏในโควิด 12 นิวเคลียร์โอไทด์ ที่ทำให้เข้ามนุษย์ได้ และเท่ากับกรดอะมิโนหรือส่วนย่อยของโปรตีนสี่ตัว...สิทธิบัตรของลำดับพันธุกรรมนี้จดทะเบียน ระบุ sequence 11652 ในรหัส US 9587003 ลำดับพันธุกรรมเป็นยีนของมนุษย์ MSH 3

...มีหนังสือที่เปิดโปงกำเนิดของโควิดโดย Andrew Huff ที่เคยอยู่ในตำแหน่งของรองประธานองค์กร EHA และเป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสขององค์กรและหนังสือโดยวุฒิสมาชิก Rand Paul เรื่อง deception เผยแพร่ในวันที่ 10 ตุลาคม 2023 โดย Rand เป็นแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญทางจักษุจาก Baylor และ Duke

หลักฐานของการสร้างไวรัสสามารถชมได้ทาง YouTube ทั้งจาก Rand Paul และ Jeffrey Sachs เมื่อกลับมาถึงการสร้างไวรัสใหม่ ก่อนหน้าเกิดระบาดโควิด มีผู้สัมภาษณ์ Daszak ว่า ในเมื่อไวรัสใหม่ที่สร้างขึ้นนี้รักษาไม่ได้ ฉีดวัคซีนป้องกันก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรต่อ โดย Daszak ได้ตอบว่า ไม่ต้องกังวลทุกอย่างควบคุมได้ไม่ยาก และงานวิจัยมีคุณค่าที่จะลงลึกถึงการสร้างวัคซีนในอนาคต และนี่คือที่มาของตำแหน่งที่ใส่เข้าไปอยู่ในส่วนต่อของ S1 และ 2 ของไวรัส furin cleavage site...หลังโควิดระบาด ทั้ง Daszak และ Shi ปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้เกิดจากห้อง lab โดยกล่าวยืนยันว่า การวิจัยสร้างไวรัสใหม่นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อสร้างวัคซีนและยาล่วงหน้า

รายงานในวารสาร international Journal of infectious disease ในวันที่ 13 มีนาคม 2023 จากการตรวจคนงานและคนคุมช้างลากซุง ที่ประเทศเมียนมาจำนวน 693 คน ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2017 จนกระทั่งถึงกุมภาพันธ์ 2020 พบว่า 12.1% มีหลักฐานการติดเชื้อด้วยไวรัสคล้ายโควิดแต่ไม่ใช่โควิด คือ ไวรัสจากค้างคาว RaTG13 ที่ไม่ก่อโรคและไม่มีการติดเชื้อผ่านคนสู่คน

อย่างไรก็ตาม RaTG13 ทำให้คนงานในเหมืองทองแดงที่เก็บขี้ค้างคาวที่เมืองตงกวน (ที่มาของ ตัวย่อ TG ส่วน Ra มาจากชนิดของค้างคาว และ 13 มาจากปี 2013) ตายจากปอดบวม แสดงว่า การอยู่ในที่อับในเหมืองในถ้ำที่มีปริมาณไวรัสสูงก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้.


หมอดื้อ


 
Source: Facebook Thiravat Hemachudha


โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม