โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย (ตอนที่ 5)

Thiravat Hemachudha • 18 กุมภาพันธ์ 2567

โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย (ตอนที่ 5)

โดย: ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่
คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายงานฉบับเต็มของรัฐสภาสหรัฐมีความยาว 301 หน้า ออกในเดือนมกราคม 2023 และเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปในเดือนเมษายน 2023 ทั้งนี้มีหลักฐานยืนยันประกอบไม่น้อยกว่า 1570 รายการ

รายงานฉบับนี้ มีความสมบูรณ์และเป็นหลักฐาน ทำให้มีการเรียกสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในรัฐสภาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

กลับมาถึงประเด็นสำคัญที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ของเรา ยุติ การทำงานและการรับทุนจากสหรัฐ เกิดขึ้นเมื่อมีการประชุมผ่านซูมกับ Daszak EHA ในวันที่ 6 มิถุนายน 2019

ทั้งนี้องค์กรมีการเสนอขอรับทุนจาก NIH และต้องการให้ ศูนย์วิทยาศาสตร์รับผิดชอบ ตั้งศูนย์ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เรียกว่า CREID ทั้งนี้ โดยจากการติดต่อครั้งต่อมา ในวันที่ 18 สิงหาคม และวันที่ 16 ตุลาคม 2020 นั้น มีสิงคโปร์และสถาบันไวรัสอู่ฮั่นร่วมอยู่ด้วย

เอกสารรายละเอียดของโครงการได้ระบุชัดเจนว่า จะมีการนำตัวอย่างส่งไปต่างประเทศ เพื่อทำการพัฒนา ทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง ในการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้เข้ามนุษย์และสัตว์ที่ปรับเปลี่ยนคล้ายมนุษย์ให้ได้ดียิ่งขึ้น โดยเจาะจงไวรัสที่เกิดโรคระบาด ในตระกูลโคโรนา อีโบลา และ นิปาห์

การทาบทามดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดโควิด จนกระทั่งถึงหลังระบาดแล้วใหม่ๆ และเป็นเหตุผลสำคัญที่เราไม่ร่วมมือด้วย

หลักฐานที่สำคัญจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพคือ การพบกล่องตัวอย่างไวรัส ที่เตรียมนำส่งไปยังสิงคโปร์ โดย คนไทยคนหนึ่ง

นอกจากนั้นทางศูนย์ ไม่รับข้อเสนอของสิงคโปร์ ที่จะให้นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ไปทำปริญญาเอกต่อ โดยนำไวรัสโคโรนา จากค้างคาว ไปด้วยเพื่อไปศึกษา ตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์ได้ดีขึ้น

และโครงการนี้ไม่ได้ให้ความสนใจในการวินิจฉัยหาโรคในมนุษย์และไม่มีการยืนยันว่าจะมีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากการประชุมในวันที่ 19 สิงหาคม 2020

ในเดือนเมษายน 2022 ทางศูนย์ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงกลาโหมสหรัฐและจาก Los Alamos ถึงท่าทีในการจะทำงานสัตว์ป่าต่อหรือไม่ ซึ่งเราได้ยืนยันชัดเจนว่า ไม่ร่วมด้วยและถือว่า โรคในคนเป็นจุดสำคัญที่สุดซึ่งจะช่วยชีวิตมนุษย์ได้ และการได้รับการวินิจฉัยโดยเร็วที่สุดนั้น สามารถบอกได้ว่ามีโรคอุบัติใหม่เข้ามาในมนุษย์หรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประกอบกับคำอธิบายดังกล่าว เราได้แสดงว่า ระยะเวลาเป็น 10 ปีในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า ไม่ได้นำมาถึงการคาดคะเนหรือการพยากรณ์ว่าตัวใดจะทำให้เกิดโรคระบาด

ศูนย์ได้ประกาศแจ้งชัด ในจุดยืนต่อองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งแสดงจุดยืนใน GOARN survey (global outbreak alert and response work) ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2021 ซึ่งเป็นเครือข่ายร่วม ระหว่างองค์การอนามัยโลก และองค์กรอื่นๆถึงจุดยืนที่ต้องปรับเปลี่ยน กระบวนความคิดและการปฏิบัติ ในการรับมือโรคอุบัติใหม่ และ ต้องยุติการหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวซึ่งไม่คุ้มค่าและอาจเกิดอันตรายอย่างสูง

รวมทั้งการประชุมผ่าน ซูม ขององค์การอนามัยโลกเจนีวาในวันที่ 8 ธันวาคม 2021 รวมทั้ง การประชุมร่วมขององค์การอนามัยโลกและองค์การอนามัยสัตว์โลก  ที่กรุงปารีสในเดือนธันวาคม 2022 ซึ่ง นายแพทย์ธีระวัฒน์ ได้รับเชิญให้ไปบรรยาย

จากนั้น ได้แสดงจุดยืน ในการประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้รับเชิญจากเลขาธิการสภาความมั่นคง ในเดือนมีนาคม 2023  รวมทั้งการบรรยายในการประชุมที่จัดโดยกรมควบคุมโรคในวันที่ 23 มีนาคม 2023 และย้ำถึงอันตรายจากการเสาะหาค้างคาวและไวรัสต่างๆ

การที่ต้องปรับเปลี่ยน กระบวนการวิธีการ ในโรคอุบัติใหม่นั้น มีความจำเป็นมาก ทั้งนี้ 50 ถึง 80% ของโรคติดเชื้อในมนุษย์นั้น โดยเฉพาะโรคสมองอักเสบ ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้

ดังนั้น ต้องใช้งบประมาณ ทุ่มเทในเรื่องของการวินิจฉัยโรคในคนป่วยเป็นสำคัญ และถ้าสามารถวินิจฉัยเชื้อในคนที่ติดโรคได้ จะสามารถบอกได้ว่าเป็นเชื้อใหม่ที่เป็นโรคอุบัติใหม่ได้เลยโดยที่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างทันท่วงที

ในส่วนของตัวอย่างไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าที่เก็บตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2011 โดยได้รับทุนจากในประเทศ และตั้งแต่ 2012 จากองค์กรต่างประเทศ จนกระทั่งถึงที่ศูนย์ยุติโครงการทั้งหมดนั้น อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยทุน ผ่านทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากต่างประเทศผ่านมหาวิทยาลัยและจัดการผ่านศูนย์วิทยบริการโดย หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ คือศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพและโรคอุบัติใหม่ และศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกทางด้านค้นคว้าและอบรมโรคไวรัสสัตว์สู่คน

โครงการสุดท้ายที่  ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ รับผิดชอบโดยโครงการจบสิ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2020 และมีการรายงานในวันที่ 8 กันยายน 2020

โครงการจัดตั้งศูนย์ภาคพื้นตะวันออกเฉียงใต้ CREID Daszak ได้ประกาศในเว็บ ทั้งนี้ สืบค้นในเดือนธันวาคม 2022 ถึงหัวหน้าโครงการและผู้ร่วม โดยมีการระบุชื่อนายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ทั้งนี้ ได้รับการสอบถามจากทางหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสท์ ว่ายังร่วม อยู่อีกหรือ?

และได้ตอบไปด้วยความตกใจว่า ยุติไปตั้งนานแล้ว

ทั้งนี้ หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ GAO (US government accountability office) ได้สอบถามนายแพทย์ธีระวัฒน์ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2023 โดยหน่วยงานนี้ ไม่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใด และทำหน้าที่ตรวจสอบการให้ทุนของรัฐบาลสหรัฐต่อสถาบันในประเทศและต่างประเทศ

ในส่วนที่ถามนั้น  เกี่ยวข้องกับการหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวว่า ได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ และได้ประโยชน์หรือไม่ ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี และมีความเสี่ยงหรือไม่ในการหาไวรัสดังกล่าว และมีความพร้อมเพรียงระดับใดในการป้องกันจากการติดเชื้อและการแพร่ออกไปสู่ชุมชนภายนอก

ทางศูนย์ได้ตอบไปว่าไม่ได้ประโยชน์ และมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องความเสี่ยงระดับนี้ ทั้งนี้โดยที่นักวิทยาศาสตร์จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่ควบคุมโครงการ ขณะที่มาเยี่ยมก็ไม่ได้มีการเคร่งครัดในเรื่องความปลอดภัยใดๆ จากที่ทำอยู่ และจากความที่รู้สึกว่า ไม่มีใครตายจากการศึกษาวิจัยดังกล่าว

จากพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ในปี 2558 ระบุชัดเจน จากที่ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น มีโทษทั้งปรับและจำตามระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น

จากการที่ไม่สามารถคาดคะเน ถึงระดับความร้ายแรงของเชื้อที่ไม่ทราบชื่อจากค้างคาว รวมทั้งมีการระบาดของโควิดตั้งแต่ปลายปี 2019 และหลักฐานจากการตัดต่อพันธุกรรมและการหลุดจากแลป ตอกย้ำถึงการที่ต้องยุติและทำลายตัวอย่างเหล่านี้ทั้งหมด



หมอดื้อ


Source: Facebook Thiravat Hemachudha

โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม