โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย (ตอนที่ 2)

Thiravat Hemachudha • 28 มกราคม 2567

โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น เคยได้ประกาศว่า ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างไวรัสโคโรนาใหม่ ด้วยวิธีการต่างๆจาก Ralph Baric ที่ North Carolina มานานแล้ว

การสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐในเรื่องการสร้างไวรัสใหม่ที่เกิดขึ้นในปี 2022 ซึ่งสามารถดูได้จาก YouTube เนื่องจากมีความยาวมากจึงได้มีการจัดแบ่งเป็น ตอนที่หนึ่งและสอง •First senate hearing on gain of function research since start of pandemic - part 1 and 2 (2022)  •https://www.youtube.com/live/koUvMznvsqs?si=Mm9gTDRQuty3m1RJ

และ •https://www.youtube.com/live/rinfVVWwwyY?si=2nC9glZUP0VLoCW9 และต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบัน  จนมีความสำเร็จในการแปร ญัตติที่จะระงับทุนของNIH และหาตัวคนที่รับผิดชอบการเสียชีวิตของมนุษย์หลายล้านคน

การสอบสวนของวุฒิสภาความมั่นคงของมาตุภูมิ ในวันที่ 3 สิงหาคม 2022 (ตอนที่สองใน YouTube) พบว่าการทดลองสร้างไวรัสใหม่ให้รุนแรงกว่าเดิมนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2003 และจนกระทั่งในปี 2011 มีรูปแบบการสร้างไวรัสที่เป็นมาตรฐาน

นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นพยานและให้หลักฐาน ได้แก่ Richard H Ebright จากสถาบัน Waksman มหาวิทยาลัย Rutgers Steven Quay จาก Atossa Therapeutics และ Kevin M Esvelt จาก MIT

Steven Quay เป็นพยานให้การ และให้หลักฐานของการที่โควิดเกิดจาก การปรับแต่งให้เกิดโรคในคน และไม่ได้มาจากธรรมชาติ Steven ให้การ ต่อรัฐสภาตั้งแต่มิถุนายน 2021 และ 3 สิงหาคม 2022 (YouTube ตอนที่หนึ่ง)

รัฐสภา ได้ลำดับเหตุการณ์การศึกษา สร้างไวรัสใหม่ ที่มีการยุติ ในปลายสมัยโอบามา และ NIH ได้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่โดยให้ทุนแก่ North Carolina และ ดร Shi ซึ่งต่อมาได้ถูกให้ยุติ แต่กระนั้น มีการให้ทุนใหม่โดย NIH โดยไม่มีการให้ตรวจสอบจากกรรมการภายนอก จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิด

Richard H Ebright ยืนยันว่ามีการยุติการให้ทุนของ NIH จริง แต่NIH ยังทำต่อ คำอธิบายว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ยังคงทำการวิจัยที่อันตรายเหล่านี้คำตอบก็คือมีผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนวิจัยหรือชื่อเสียงที่ได้จากการตีพิมพ์

Kevin ได้สนับสนุนในการให้ยุติกระบวนการศึกษา สร้างไวรัสใหม่ ทั้งนี้ ด้วยหลักฐานที่เชื่อมโยงการเกิดโควิดและการให้ทุนกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น ทั้งนี้สามารถที่จะกลายเป็นอาวุธทำลายร้ายแรง หรือ weapon of mass destruction

ดร Robert Redfield ผู้อำนวยการ CDC ในช่วง 2018 ถึง 2021 เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้น ในฐานะที่อยู่ในคณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดี เช่นเดียวกับ Fauci ได้แสดงความ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการที่ Fauci ปฏิเสธโควิดจากห้อง lab ทั้งที่มีหลักฐานคัดค้านกับการเกิดตามธรรมชาติ และกล่าวซ้ำในวันที่ 21 มีนาคม 2023

ศาสตราจารย์ Jeffrey Sachs ที่มีชื่อเสียง ได้กล่าวเปิดโปง Daszak ประธานองค์กร EcoHealth alliance มาแล้ว จากการที่ท่านเป็นประธาน Lancet Commission และได้ตั้ง Daszak ในการสืบหาต้นตอของโควิด ปรากฏว่า Daszak โกหกมาตลอด (ใช้คำว่า Lie)  นอกจากนั้น ยังเปิดเผยว่า Ian Lipkin จาก Columbia ซึ่งทำหนัง contagion ในปี 2011 และเป็นผู้ที่มาเยี่ยมที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพหลายครั้งระหว่างที่เราได้รับทุน จากสหรัฐ เป็นอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ EcoHealth alliance และพยายามล้มล้างทฤษฎีการเกิดจากแลป และทำให้เป็นทฤษฎีสมคบคิด

ในวันที่ 26 เมษายน 2023 รัฐสภาสอบสวน Samantha Powell ของ USAID การให้ทุนกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น

วันที่ 5 มีนาคม 2023 รัฐสภาสหรัฐ สืบสวนกรณี บทความในวารสารเนเจอร์ (Proximal Origin) ที่ตีพิมพ์ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2020 หลังจากเกิดโควิดได้สองเดือน จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และพบว่า Fauci มีการร่างบทความ ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อ โดยในงานนี้ เป้าหมายคือ

การดิสเครดิต “โควิด เกิดจากแล็บ” รวมทั้ง Jeremy Farrah (Oxford Welcome Trust) และปัจจุบัน เป็น Chief Scientist ของ WHO ตั้งแต่ 2023 ได้เกี่ยวข้องกับรายงานตีพิมพ์ฉบับนี้แต่ไม่ได้มีชื่ออยู่

บันทึกจากสภาคองเกรส ในวันที่ 5 มีนาคม 2023 ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ Fauci และ Collins และ อย่างน้อยอีก 11 คน ที่ได้มีการประชุมผ่าน conference call และตัว Fauci และCollins ได้ ถูกเตือนว่า โควิดอาจจะเกิดจากสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นโดยการตั้งใจที่จะสร้างไวรัสใหม่

สามวันหลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์สี่คนที่ร่วมประชุมได้ร่างบทความ Proximal origin และส่งดราฟท์ให้ Fauci และ Collins เพื่อตรวจทานและแก้ไขก่อนที่จะส่งไปยังวารสารเนเจอร์

ในวันที่ 16 เมษายน 2020 หลังจากที่ตีพิมพ์ในวารสารแล้ว Collins ได้อีเมล ถึงFauci แสดงความผิดหวังว่า เนื้อหายังไม่รุนแรงพอ ที่จะล้มล้างโควิดมาจากแล็บ และ ต้องการให้ NIH กดดันมากขึ้น ดังนั้นในวันต่อมา Fauci ได้สำทับในการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบขาวว่า โควิดไม่ได้เกิดจากแลป และเป็นทฤษฎีสมคบคิด

บันทึกของรัฐสภาสหรัฐจากการสอบสวนชัดเจนว่า มีการพยายามล้มล้างและป้ายสี ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด โดยบทความที่ตีพิมพ์นั้นถือเป็นภารกิจสำคัญ และ Kristen Andersen Scripps research ถึงกับเขียนไปหาวารสารเนเจอร์ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2020 ให้แสดง สิ่งรอบด้าน ที่น่าจะเป็นกำเนิดโควิดที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม กลับได้พูดในสาธารณะ ว่าโควิดนั้นมาจากตัวนิ่ม หรือลิ่น pangolin และมาจากธรรมชาติแน่

จากการสอบสวนของรัฐสภาพบว่า การกล่าวอ้างโควิดมาจากตัวนิ่มหรือตัวลิ่นนั้น Andersen เองก็ไม่ได้เชื่อหลักฐานจาก pangolin ว่าจะสามารถล้มล้าง การหลุดออกมาจากแลบได้ และตัว Lipkin เอง ในขณะที่ร่างบทความในเนเจอร์นั้นได้ให้ความเห็นและเหตุผลว่า โควิดนั้นยังสามารถมาจากสถาบันอู๋ฮั่นได้ จากการที่สถาบันมี การศึกษาไวรัสโคโรนา จากค้างคาวมาอย่างยาวนาน รวมทั้งการเกิดในมนุษย์รายแรกทำให้ไม่สามารถตัดการเกิดจากแล็บได้

ดร Holmes เห็นด้วยกับLipkin และ ติดต่อกับ Farrar โดยพูดว่าโควิดแม้จะใกล้เคียงกับซาร์ส แต่มีลักษณะแปลกออกไปเหมือนกับมีการปรับแต่งเพื่อให้เข้ามามนุษย์และแพร่กระจายออกไปทั้งนี้ด้วยหลักฐานทางระบาดวิทยาที่น่ากังวล

Lipkin อีเมล หา Farrah และขอบคุณที่จัดการเรื่องบทความพร้อมกับบอกว่า มีข่าวลือในประเทศจีนเองว่า มีการสร้างโควิดเป็นอาวุธชีวภาพ  Farrah ตอบว่าทราบแล้วรวมทั้งมีข่าวในสหรัฐเองด้วย

ดังนั้นต้องรีบปล่อยบทความนี้ไปให้เร็วที่สุดและจะเป็นคนกดดันวารสาร เนเจอร์เอง

รวมทั้งแก้ไขคำพูดในบทความ ให้รุนแรงขึ้นว่า ไม่มีทางที่โควิดจะเกิดขึ้นจากการปรับแต่งทางแล็บ โดยตัวAndersen เอง ได้ตอบว่า “ชัวร์” (sure)

Kristen Andersen และ Robert Garry จาก รร แพทย์ Tulane ในเวลาต่อมา ถูกหมายเรียก และสาบาน คำให้การต่อ รัฐสภาสหรัฐในเดือนกรกฎาคม 2023 และมีการลำดับไทม์ไลน์ของบทความ Proximal origin รวมทั้งเปิดเผยความเชื่อมโยงของการให้ทุนจากสหรัฐ

Paul A Gosar กรรมาธิการใน Natural resources และ ในการ กำกับดูแล และหาคนรับผิดชอบ (oversight and accountability) ได้มี บันทึกถึงกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพนตากอน ในวันที่ 4 ธันวาคม 2023 ถึงเรื่องการที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ยังคงให้ทุนกับ EcoHealth alliance ต่อ และการที่มีความสำเร็จในการแปรญัตติ ที่จะยุติ สอง ทุน ในปีงบประมาณ 2024 ของ NIH ที่ให้ต่อ EHA หรือ EcoHealth alliance ในการหาไวรัสโคโรนาและทำการสร้างไวรัสใหม่

แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ กระทรวงกลาโหมสหรัฐยังคงให้ทุนองค์กรนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ หลายกระแส ชี้ไปในทางการเกิดโควิดจากการสร้างไวรัสใหม่ของสถาบันไวรัสอู่ฮั่น และแม้แต่ผู้ตรวจการ ยังได้มีบันทึกแสดงให้เห็นถึง ความประพฤติที่ผิดพลาดขององค์กรนี้ในการใช้ทุนจาก NIH ที่ส่งไป สถาบันไวรัสอู่ฮั่น

Gosar ให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐแจงข้อมูลเกี่ยวกับการให้ทุนต่อ EHA จำนวนเงินทั้งหมดที่ให้โครงการ และที่ยังมีการให้ทุนอย่างต่อเนื่อง การให้ทุนการวิจัยในเรื่องการต่อต้านอาวุธที่มีการทำลายล้างสูง ให้รายงานผู้ที่ทำงานร่วมกับองค์กรนี้โดยให้ชื่อทั้งหมด รายละเอียดของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทุนโดยตรงหรือเป็นทุนที่แยกย่อยออกไป ให้รายงานทุนที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐให้ผ่าน EHA ไปยังต่างประเทศ ให้รายงาน ว่ายังมีโครงการใดอีกบ้างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างไวรัสใหม่ที่ยังดำเนินอยู่และกระทรวงกลาโหมสหรัฐยังคงที่จะทำการศึกษาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงขึ้นอีกหรือไม่

Gosar นอกจากส่งบันทึกให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐแล้ว ยังส่งให้ NIH สถาบันวิทยาศาสตร์ของสหรัฐและ USAID และกล่าวว่า EHA ไม่สมควรที่จะได้รับการสนับสนุนใดๆทั้งสิ้น หลังจากเหตุการณ์โควิด ที่เกิดขึ้นที่อู่ฮั่นและคำสัญญาในการรับทุนว่าจะทำการคาดคะเนและป้องกันโรคระบาดแต่อาจจะเป็นคนที่ก่อขึ้นมาเองด้วยซ้ำ


หมอดื้อ


Source: Facebook Thiravat Hemachudha



โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม