ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและมีจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018

Thiravat Hemachudha • 29 มกราคม 2567

โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่

คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เป็นโชคดีของมนุษย์โลกที่ในสหรัฐมีกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลที่ต้องเปิดเผย

ดังนั้นทำให้เราได้รับทราบจากเอกสาร 1400 หน้า และมีสื่อต่างประเทศนำมาเปิดเผยมากมายจาก US right to know รวมทั้งจาก Jim Haslam

ระลอกที่หนึ่งของการเปิดโปง

Ralph Baric มหาวิทยาลัย North Carolina ในปี 2018 ได้ ประกาศถึงความสำเร็จในการ ประกอบร่างจากลูกผสมสองชิ้น (ไคมีร่า chimera) จากค้างคาว ซึ่งมีความแตกต่าง 20% จาก ซาร์ส หนึ่งที่ได้เคยระบาดไปแล้วในปี 2003

สองชิ้นที่ว่า ชิ้นส่วนแรกเป็นส่วนของ ท่อนที่จะจับติดกับมนุษย์ คือส่วนหนาม S1  จากค้างคาว 293 ซึ่งต่างจากซาร์ส หนึ่ง 20 เปอร์เซ็นต์ และชิ้นที่สองคือส่วน S2 จากค้างคาวเช่นกัน HK3 โดยมีความต่าง 20%

ทั้งนี้โดยมีความนัยว่า การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้

ทั้งนี้ เมื่อเกิดระบาดของโควิด ปรากฏว่าโควิดนั้นมีความต่างจาก ซาร์ส หนึ่ง 22%

ความคิดในการสร้างไวรัสที่มีความต่างจากซาร์สหนึ่ง ในลักษณะเช่นนี้  Baric ได้เปิดเผยในที่ประชุมของไวรัสโคโรนา โดยอธิบายว่าถ้า มีความต่างมากกว่า 25% จะไม่สามารถสร้างลูกผสมที่จะติดมนุษย์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆได้

Baric ขนานนามทฤษฎี 25% นี้ว่าเป็น bookend ซึ่งคงไม่ได้หมายความว่าเป็นคันที่ตั้งหนังสือ แต่หมายถึง จุดที่จะจบแล้วของกระบวนการไวรัสโคโรนาที่จะระบาดในมนุษย์ โดยมีตัวที่เป็นมาตรฐานของ ไวรัสโคโรนา ที่จะระบาดทั่วโลก

Baric พยายามที่จะหาตัวอย่างไวรัสจากค้างคาวที่มีความต่างไม่เกิน 25% โดยนำจากค้างคาวชื่อ ไวรัส RaTG13 ที่เก็บในสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นตั้งแต่ปี 2013 โดยมีความต่าง 24.6%

หกเดือนก่อนหน้า การระบาดของโควิดในปี 2019 ทฤษฎีนี้ ได้เสนอขอทุนจากสถาบันสาธารณสุข สหรัฐ NIH NIAID ในชื่อโครงการ CREID (center for Research in emerging infectious diseases) และได้รับ อนุมัติทุนไปแล้ว ที่สำคัญก็คือ โดยมีการให้ทุนในประเทศไทยด้วย และมีหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการ องค์กรในไทย ปฏิบัติงานภายใต้ CREID นี้

โครงการนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะหาไวรัสที่มีความต่างไม่เกิน 25% และไวรัสโควิดที่ปรากฏตัวแพร่ระบาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมามีความต่าง 22% จึงอาจจะเรียกได้ว่าแผนปฏิบัติงานเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในโครงการนี้ยังมุ่งที่จะเน้นหาไวรัสที่เกิดการระบาดไปแล้ว นั่นก็คือไวรัสในกลุ่มอีโบลา (Filoviruses) และ กลุ่มนิปาห์ (Nipah virus ที่เกิดระบาดสมองอักเสบและปอดบวม) โดยหาไวรัสจากค้างคาวที่มีความต่างไม่เกิน 10% และนี่เป็นเหตุผลว่าองค์กรและสถาบันวิชาการของประเทศไทยทำไมถึงยังคงหาไวรัสในกลุ่มของโควิด กลุ่มของอีโบลา และนิปาห์อยู่ โดยให้ความต่างน้อยที่สุดไม่เกิน 10% เพื่อที่จะสามารถเข้าติดเชื้อในมนุษย์และเกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ระลอกที่สองของการเปิดโปง คือ

ความเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยดุ๊ก Duke NUS medical school ของสิงคโปร์ Linfa Wang และ Danielle Anderson

ในปี 2018 ที่ มีการเสนอขอทุนโครงการ DEFUSE ซึ่งเป็นต้นแบบ ของ CREID โดยเสนอต่อ DARPA กระทรวงกลาโหมสหรัฐแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะสุ่มเสี่ยงต่ออันตราย

แต่ในที่สุดก็พลิกแพลงเสนอต่อ NIH แทน ในนามโครงการ CREID

Duke มีบทบาทที่สถาบันอู่ฮั่นในการทดลองวัคซีนที่ใช้กับค้างคาว โดยในโครงการ DEFUSE นั้น Danielle เป็นคนรับผิดชอบในการทดลองในสัตว์ โดยที่มีความเชี่ยวชาญในการศึกษาในไวรัสและสัตว์ทดลองหลายชนิด

ในปี 2019 ปฏิบัติงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันในค้างคาวที่สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น

และในเดือนพฤศจิกายน 2019 ได้ออกจากสถาบันอู่ฮั่นโดยไม่ทราบเหตุผลและไม่เคยเปิดเผยบทบาทในโครงการ DEFUSE ที่ขอ DARPA

Linfa Wang ถือเป็นปรมาจารย์ในเรื่องค้างคาว ของโลกและเป็นบรรณาธิการ ในวารสาร อันดับหนึ่งรวมทั้งวารสาร virology และลาออกจาก ผู้อำนวยการของสถาบันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ของ Duke

ส่วน Danielle เป็นผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการชีวะนิรภัยระดับสาม ที่ Duke รับผิดชอบงานในสัตว์ทดลองโดยมีความเชี่ยวชาญในด้านอณูชีววิทยา และกลุ่มไวรัส RNA

ระลอกที่สามของการเปิดโปง

Valentine Brutelle วิเคราะห์ให้เห็นว่าไวรัสโควิดนั้นเป็นผลของการ เอนจิเนียร์ (reverse genetic system) ทางห้อง lab จากชิ้นส่วนพันธุกรรม cDNA หกท่อนที่นำมาเรียงต่อกันโดยใช้ restriction endonuclease ที่สำคัญ

โดยที่ Baric ด้วยซ้ำ ได้ตีพิมพ์การสร้างไวรัสจากท่อนของ DNA ให้กลายเป็นสายเต็มของพันธุกรรม เช่นโควิดและมีการเปิดเผยใน YouTube ที่แสดงให้เห็นถึงการประกอบร่างของไวรัส

ในโครงการ DEFUSE 2018 Baric ได้ให้รายละเอียดของการใช้เอนไซม์ BsmBI ที่พบในไวรัสโควิดเช่นเดียวกัน

และได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Cell ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2020 (หลังจากที่มีการระบาดของโควิดแล้ว) โดยแสดงการสร้างไวรัส โควิด ว่ามีความง่ายเพียงใด และศึกษาเนื้อเยื่อตำแหน่ง ที่ ไวรัสโควิดชอบไปอยู่ เช่น ตามระบบทางเดินหายใจในส่วนต่างๆ โดยที่ไม่ได้มีการพูดถึงที่คณะของตนเองมีการวางแผนล่วงหน้าในการสร้างไวรัสโควิดอยู่แล้ว และในปี 2020 Baric ผันไปใช้ restriction enzymes ตัวอื่น ในการประกอบร่างโควิด ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นการเบี่ยงเบนความเชื่อมโยงกับโควิด

ระลอกที่สี่ของการเปิดโปง 

Baric ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ตนเองภูมิใจ ทั้งในการที่สามารถสร้างไวรัสโควิดในหลอดทดลอง และที่สำคัญก็คือ ตำแหน่งที่ทำให้มีความสามารถติดเชื้อในมนุษย์และเกิดโรคได้ นั่นก็คือ furin cleavage site ซึ่งชิ้นส่วนรหัสพันธุกรรมนี้ Baric เองเป็นคนแสดงในการที่จะตัดต่อ ส่วนนี้เข้าไปที่ รอยต่อของ ส่วนหนาม S1 กับ S2 (R667)

ระลอกที่ห้าของการเปิดโปง

Tim Sheahan ทีมของ Baric ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพันธุกรรมและมีลูกทีมหลายคนที่รับผิดชอบในแต่ละส่วนของการเชื่อมสายพันธุกรรมของไวรัส

ในวันที่ 11 ธันวาคม 2019 Tim ได้แชร์สกรีนช็อต จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสดง BatSRBD ซึ่งเป็น ข้อมูลรหัสพันธุกรรม ที่จำเพาะ consensus sequence ของ UNC มหาวิทยาลัย North Carolina ที่ตีพิมพ์ ในวารสาร PNAS “synthetic recombinant bat SARS-like coronavirus is infectious in cultured cells and in mice” ในปี 2008 ทั้งนี้เป็นการสังเคราะห์ในห้องทดลอง ทั้งหมด ของตัว ไวรัสโคโรนา ที่มีขนาด 27.9 kb เรียกว่า bat SARS like coronavirus (Bat-SCoV) โดยถือว่าสามารถเป็นตัวแทนต้นกำเนิดของการระบาด ซาร์ส และมีความสามารถในการติดเชื้อในเซลล์และในสัตว์ทดลอง

นอกจากตัวนี้แล้ว ไวรัสโควิดเองถือเป็นการคัดเลือกจัดสรรจากจีโนม ไวรัสโคโรนาของค้างคาวซึ่งรวมทั้ง RaTG13  Laos Banal Thailand Cambodia ทั้งนี้ ตัวอย่างไวรัสจากค้างคาว นานาชนิดที่มีศักยภาพในการทำให้เกิดโรคระบาดจะเก็บในตู้เย็นที่ North Carolina ของ Baric

และทำเป็น Genetic แพลตฟอร์ม ที่จะสร้างเป็นตัวไวรัสโควิดที่ดีที่สุด และในที่สุดแล้วก็ได้ตัว 293 และ HK3 ดังได้กล่าวในข้างต้น

ในการแถลงข่าวร่วมกันของ Baric กับ Fauci ในปี 2020 Baric ได้กล่าวถึง 25% bookend ที่จะ ต้องศึกษาวิจัยเพื่อ ป้องกันการระบาดทั่วโลกในครั้งต่อไป โดยไม่ได้ แถลงถึงการวิจัยที่ผ่านมา ในการสร้างไวรัส โดยที่มีพิมพ์เขียวอยู่แล้วของโควิด

Baric ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดโปง ในเดือน กันยายน 2021 ของโครงการ DEFUSE โดยได้ปฏิเสธว่า “ไม่เคยส่งข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสลูกผสม clones หรือตัวไวรัส” ให้สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น

อย่างไรก็ตาม Fauci ได้อนุมัติเงินทุน 65,000,000 เหรียญ ให้กับ UNC Baric ใน โครงการพัฒนายาต้านไวรัส rapidly emerging anti-viral drug development initiative (READDI)

และอย่าลืมว่า สิทธิบัตรของ ข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสโควิดเป็นของ Baric และ NIH ตั้งแต่ปี 2018


หมอดื้อ


Source: Facebook Thiravat Hemachudha




โดย thaipithaksith 15 สิงหาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 14-08-67
โดย thaipithaksith 30 พฤษภาคม 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 30-05-67
โดย Thiravat Hemachudha 27 พฤษภาคม 2567
การแก้ไข IHR และ Pandemic Treaty (Agreement) กฏหมายที่มีผลผูกพัน ข้อตกลงที่ลิดรอนเสรีภาพ เมื่อใดปรากฎ ภาวะผันผวน ทางธรรมชาติและเชื่อมโยงไปถึงการ ผันแปร เชื้อโรคการแพร่ระบาด องค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ในกรอบเดียวกัน ทั่วโลก ตั้งแต่การปิดประเทศ ห้ามการเคลื่อนย้าย มาตรการการรักษา การใช้ยา การใช้วัคซีน และที่สำคัญคือ การระบุเด็ดขาดการกระทำใดๆ ที่ผิดเพี้ยน การใช้การรักษาด้วยสมุนไพรหรือยาที่หมดสิทธิบัตรแต่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาโรคได้ จะถูกระบุ ว่าเป็น “เท็จ” โดยมีหน่วยงานคอยตรวจสอบติดตามเป็นเรียลไทม์ในสื่อทุกชนิดและการสื่อสารทั่วโลก และทำการดิสเครดิต ผ่านจากองค์การมายังทุกประเทศ โดยที่จะมีการควบคุมสื่อ มี สำนักงาน นานาชาติ และในประเทศไทย ที่เห็นได้ชัดในหลายรายการที่เป็นกระบอกเสียง และ นักวิชาการที่ปฏิบัติตามทั้งนี้ โดยอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีบทความทางวิชาการในวารสารทางการแพทย์ที่ระบุว่าเป็นการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยในเวลาที่ผ่านมา สืบค้นพบว่า มีการตัดข้อมูลที่ให้ผลลบต่อผลิตภัณฑ์นั้น ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมมากถึง 92% เป็นต้นในกรณีของวัคซีน และแม้มี รายงานทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์คัดค้าน จะถูกปิดกั้นไม่ให้ลงตีพิมพ์หรือถอดถอนออกในเวลาต่อมา แต่ความจริงเปิดเผยในปี 2024 ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ องค์การต่างๆ เหล่านี้ ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากสื่อ ตามพระราชบัญญัติความโปร่งใสของข้อมูล ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานจากบริษัทยาและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยและในระดับรายบุคคล และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปในทางที่ไม่เป็น กลาง ที่เห็นได้ชัด คือการสืบค้นหาต้นตอของโควิด ขององค์การ กลับประกอบด้วยบุคคล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการสร้างไวรัสใหม่ การให้ทุนข้ามชาติจากประเทศตะวันตกมายังสถาบันวิจัยไวรัส และองค์กรต่างๆรวมทั้งในประเทศไทย และสิงคโปร์ และอู๋ฮั่น จนกระทั่งมีการตัดสินในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ถึงหน่วยงานกลาง EcoHealth alliance ที่เป็นตัวผ่านเงิน จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐไปยังประเทศต่างๆ และผู้บงการกลับเป็น DoD DARPA DTRA BTRA หัวหน้า NIH NIAID ผ่านมาทาง CDC USAID ถ้าสนธิสัญญานี้เกิดขึ้น ชะตากรรมของประเทศภาคีทั้งโลก จะถูกแทรกแซงอธิปไตย เพื่อให้องค์การ มีอำนาจพลักดันเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ระบุเป็น pandemic emergency อาทิ บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาวะใดจึงจะให้สัญญาณบ่งชี้ถึงภัยคุกคาม การตรวจวินิจฉัยต้องใช้วิธีใด จึงจะได้มาตรฐาน วัคซีนชนิดใด ยาชนิดอะไร การรักษาต้องเป็นแบบใด จะรักษากี่วัน และอื่นๆ โดยที่ องค์การอนามัยโลก โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองเบ็ดเสร็จ และไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลร้ายในภายหลังใดๆทั้งสิ้น โดยทั้งหมดนี้จะระบุในสนธิสัญญา หนังสือเดินทางวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นตัวอย่างที่สำคัญที่เกิดขึ้นแล้ว และเป็นการบังคับให้ต้องฉีดวัคซีนซ้ำซาก ในขณะที่ประชาชนเป็นจำนวนมากสำเหนียก ถึงผลกระทบที่ตนเองได้รับในวัคซีน แล้วแต่ยังต้องถูกบังคับให้ฉีดใหม่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปนอกประเทศได้ และในที่สุดประสบผลกระทบซึ่งกลายเป็นความพิการระยะยาว ในสนธิสัญญาจะมีการอัพเกรดให้มี ใบรับรองดิจิทัล (Global Digital Health Certificate) ในการติดตามประวัติทางการแพทย์ของ มนุษย์ และยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐ (ทั้งรัฐบาลประเทศของแต่ละบุคคลและรัฐต่างประเทศ)ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การแยกตัว กักตัว ไปจนถึงการ 'บังคับ' ฉีดวัคซีน ทุกแง่มุมของชีวิตเราจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือโครงการ CGIP clinical genomic integration platform โดยมีการควบรวมประวัติทางการแพทย์ของคนป่วยทั้งที่เข้าโรงพยาบาลและในพื้นที่ศึกษาที่ประกอบด้วยอาการการตรวจทางเอกซเรย์ทางห้องปฏิบัติการพื้นที่ของการเกิดโรค อาชีพประวัติการศึกษา เศรษฐกิจฐานะ ตัวเชื้อและสายพันธุ์ของเชื้อการรักษาใดได้ผลหรือไม่ได้ผลและลงประมวลข้อมูลในระบบ PACS และส่งตรงไปยังสหรัฐ เพื่อในการวางแผนผลิตยาและเวชภัณฑ์ โดยที่แท้จริงแล้วเป็นการละเมิดความมั่นคงของ ประเทศไทย ที่สุดคือการผลักดันให้มีการสอดแนมและการเซ็นเซอร์จากทั่วโลก ภายใต้หน้ากากของการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และ จะถูกประทับตรา เป็น เฟกนิวส์ WHO กำลังให้รัฐบาลทั่วโลกเซ็นตกลง ปิดข้อมูลที่ไม่ตรงกับ WHO และเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าของทางการ การปราบปรามเสรีภาพในการพูด โดยจะมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ได้ยิน นั่นก็คือเสียงของ WHO ที่เกิดมาตลอดคือ เบื้องหลัง เครือข่ายแล็บชีวภาพลึกลับ ที่กำลัง ถูกสร้าง จัดตั้งขึ้น ทั่วโลก ในการรวบรวมเชื้อโรคจำนวนมหาศาลอย่างเงียบๆ และทำการทดลองทก่อให้เกิดหายนะสำหรับมนุษยชาติ ไปแล้ว นั่นคือ โควิด และตัวต่อไปคือไข้หวัดนก อีโบลา โควิด นิปาห์ โดยเน้นให้มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและให้มีการติดต่อทางอากาศได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น บอกต่อให้คนไทยทุกคน รู้ทัน ทางเราเองและลูกหลานจะไม่มีที่พึ่ง สื่อส่วนใหญ่จะทำอะไรไม่ได้ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นทาสมัน หรือเป็น ไท? หมอดื้อ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (ลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thiravat Hemachudha 19 พฤษภาคม 2567
ยาที่ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยและหมดสิทธิบัตร ราคาถูกเข้าถึงได้ทั่ว โดยที่ ปรากฏว่ามีสรรพคุณนอกเหนือจากที่เคยรู้กันและนำมาใช้ในบริบทที่ต่างออกไป เป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ ในการเป็น repurpose drug และอีกทั้งยาพื้นบ้านสมุนไพรไทยและยาแผนตะวันออกรวมทั้งวิธีควบการรักษาอื่นๆควรต้องเปิดใจและ ศึกษาอย่างจริงจังและในที่สุดสามารถร่วมใช้ด้วยกันกับยาแผนปัจจุบันตะวันตก ตัวอย่างเช่นยาฆ่าพยาธิ ยา ไอเวอร์เมคตินตัวนี้ Satoshi ōmura และ William C. Campbell ได้รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและอายุรกรรม ในปี 2015 ในการคันพบ ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษา โรคพยาธิต่างๆและช่วยชีวิตคนในทวีปแอฟริกาได้มากมาย ในช่วงระยะเวลาต่อมามีการศึกษา ฤทธิ์และกลไกของยาตัวนี้ จนกระทั่งได้พบว่ายาตัวนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการติดเชื้อรวมกระทั่งถึงการรักษาการติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะที่เป็น กลุ่ม RNA อาทิเช่นไวรัสโควิด จนกระทั่งมีการนำมาใช้ใน หลายทวีป ในประเทศอินเดีย แอฟริกา แม้กระทั่ง ในญี่ปุ่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตามได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและมีการเซ็นเซอร์รวมทั้งมีการเพิกถอนใบประกอบอาชีพของแพทย์ และองค์กรกลางของสหรัฐ FDA ได้กล่าวดูถูกถากถาง แต่ในที่สุดแพ้คดีต่อศาลสูงสุดของสหรัฐ ให้ลบการประนาม ข้อความในสื่อทั้งหมด ที่ให้ร้ายยาฆ่าพยาธิดังกล่าว และแพทย์ชนะคดี เย็นวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024 คดีในศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยศาลได้ตัดสินให้ FDA ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนำโดย Robert Califf ซึ่งเป็นแพทย์โรคหัวใจ ถอดถอนคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งหมดเกี่ยวกับยา ivermectin ยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ตามมาตรฐานชุมชนในการดูแลรักษาโรคโควิด-19 โดยมีประวัติความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมและหลักฐานคุณประโยชน์ในการศึกษาไม่น้อยกว่า 101 รายการ ในช่วงปี 2021 สิ่งที่เรียกว่า"สงครามกับยาไอเวอร์เมกติน" FDA ของสหรัฐอเมริกาได้โพสต์ทวีตอันเป็นเท็จและทำให้เข้าใจผิด และการส่งข้อความสาธารณะเพื่อห้ามปรามแพทย์ เภสัชกร และผู้ป่วยจากการใช้ยา และ ส่งผลให้แพทย์ที่สั่งใช้ถูกสั่งให้ยุติ การทำงาน ถอดถอนใบอนุญาติ และนำมาสู่การฟ้องร้องซึ่ง FDA แพ้ในที่สุด ช่วงเวลาก่อนโควิด ระยะที่มีการระบาด และหลังจากที่การระบาดสงบลงมีความสนใจในกลไกของยาฆ่าพยาธิตัวนี้ที่สามารถออกฤทธิ์ต่อมะเร็งหลายชนิดได้ ทั้งในด้านการระงับการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย และยับยั้งการสร้างเส้นเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็งต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมถึงผ่อนเบา สถานการณ์ดื้อยาของมะเร็งชนิดต่างๆต่อการรักษาและยาเคมีบำบัด และมีการใช้ผสมควบรวมกันทั้งนี้เพื่อควบคุมมะเร็งได้ดีขึ้น กลไกสำคัญที่มีการศึกษาไปแล้วนั้น คือความสามารถที่จะทำให้มะเร็งตายโดยกระบวนการ ที่เรียกว่า programmed cell death autophagy และ pyroptosis โดยผ่านเส้นทางของ PAK1 kinase และอื่นๆ จุดประสงค์ของการศึกษายานี้กับมะเร็งเพื่อช่วยให้เป็นยาประกอบกับยาเคมีบำบัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความบางส่วนที่ศึกษายาตัวนี้กับมะเร็ง ชนิดต่างๆเช่น มะเร็งเต้านมโดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า triple negative โดยทีไม่มี estrogen, progesterone receptor และ human epidermal growth factor receptors 2 (HER2) และเป็นมะเร็งที่เติบโตและลุกลามเร็วที่สุด โดยที่ไอเวอร์เมคตินทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม ในระดับเหนือพันธุกรรม (epigenetic regulator) และยังทำให้มะเร็งชนิดนี้กลับมาตอบสนองกับยาปกติ tamoxifen การศึกษาหลายรายงานยังพบว่าไอเวอร์เมคติน ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ดีขึ้นโดยการปรับสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง(tumor microenvironment )จากการปล่อย high mobility group box-1 protein (HMGB1) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์มะเร็ง ในส่วนมะเร็งกระเพาะอาหารพบว่าไอเวอเมคติน สามารถ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์ผ่าน Yes-associated protein 1 (YAP1) และกระบวนการนี้ยังใช้อธิบายผลต่อมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี และยายังช่วยมะเร็งที่ดื้อ gemcitabine ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดสำหรับรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดเซลล์ตายในกระบวนการapoptosis จากการขัดขวาง Wnt/beta catenin pathway นอกจากนั้นยังมีผลช่วยในกรณีของมะเร็งของไต (renal cell carcinoma) โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติทั้งนี้โดยการขัดขวางหน้าที่ของmitochondria ยายังมีส่วนช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากโดยที่เพิ่มการออกฤทธิ์ของ ยาต้าน ฮอร์โมนแอนโดเจน enzalutamide และปรับเซลล์มะเร็งที่ดื้อ ยาdocetaxel ให้กลับมาตอบสนองใหม่ มะเร็งของเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย ยาช่วยฆ่ามะเร็ง ในขนาดยาที่ไม่สูง และไม่กระทบเซลล์ปกติ ทั้งนี้โดยการเหนียวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีผลส่งเสริมการออกฤทธิ์ของยา cytarabine และ daunorubicin นอกจากนั้นยังมีผลกับมะเร็งชนิดไม่เฉียบพลัน chronic myeloid leukemia และช่วยการทำงานของยา dasatinib ให้ดีขึ้น มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ยามีส่วนช่วยในการทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เนื้องอกสมอง ยามีส่วนช่วยรักษา glioblastoma ผ่านกลไกที่ทำให้เซลล์ตายและยับยั้งการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกและการกระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามยาไอเวเมคติน ไม่สามารถผ่านผนังกั้นหลอดเลือดกับสมองได้ดี ดังนั้น อาจเป็นข้อจำกัดในการใช้ยานี้กับเนื้องอกในสมองยกเว้นแต่ว่าต้องสามารถเปิดให้มีรูหรือช่องว่างของผนังกั้นนี้ได้อย่างพอเพียงโดยที่ไม่เกิดขึ้นอย่างถาวร มะเร็งในช่วงโพรงจมูกทางด้านหลัง มะเร็งปอด และ มะเร็งร้ายแรงของผิวหนัง melanoma ยาดังกล่าวนี้สามารถช่วยการรักษาที่เป็นมาตรฐานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ลิงค์ที่แนบแสดงถึงการรายงานประสิทธิภาพและกลไกของยา ต่อเนื้องอกมะเร็งแบบต่างๆ เช่น วารสาร Nature 2021 https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 วารสารNature 2022 https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 และวารสารอื่นๆ https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1043661820315152 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/ https://www.frontiersin.org/.../fphar.2021.717529/full https://journals.sagepub.com/.../10.1177/09603271221143693 https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49 https://www.frontiersin.org/.../fphar.2022.934746/full https://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 เหล่านี้เป็นตัวอย่างของยาที่มีสรรพคุณมากหลาย นอกเหนือจากที่ค้นพบตั้งแต่ต้น และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์ของสมุนไพรกันชงและกัญชา ที่ครอบครัวของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ารักษาไม่ได้และให้ประคับประคองอย่างเดียวได้นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานนอนไม่ได้กินไม่ไหว แต่สามารถมีชีวิตอย่างเกือบปกติและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวโดยทุกคนค่อยๆยอมรับ และในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะจากไป แต่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ผู้ป่วยเหล่านี้ต่างได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีนทั้งชนิดกิน ฉีด แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ในขณะเดียวกันมีผู้ป่วยมะเร็งเป็นจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันชนิดของมะเร็งรวมกระทั่งถึงระยะลุกลามขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยากันชงกัญชา โดยการให้ที่ถูกต้องและเหมาะสม กลับมีชีวิตยืนยาวได้มากกว่าปกติตามที่คาดคะเนจากการรักษาแบบมาตรฐาน ควรหรือไม่ที่จะเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังที่จะนำสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนตะวันออกเช่นแพทย์แผนจีน เข้ามาศึกษาและยกระดับความเข้าใจรวมทั้งสามารถระบุปฏิกิริยา รวมทั้งข้อห้ามใช้เมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ตัวไหนบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและเป็นการประหยัดและทำให้ประชาชนคนป่วยเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ หมอดื้อ Source: Facebook Thiravat Hemachudha
โดย Thaipithaksith 7 พฤษภาคม 2567
Live!! คลิปเต็ม4ชม.แฉความจริงอันตรายจากสิ่งที่ฉีดไปแล้วร้ายแรงกว่าที่คิด
โดย thaipithaksith 27 เมษายน 2567
สภากาแฟเวทีชาวบ้าน 25-04-67
โดย Thaipithaksith 11 มีนาคม 2567
ขอให้ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ชี้แจงข้อคำถามต่อไปนี้กับสังคม
โดย Thaipithaksith 8 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับมติตามหนังสือที่ พส.๐๑๑/๔๗๘๕
โดย Thaipithaksith 4 มีนาคม 2567
ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy)
โดย Thaipithaksith 3 มีนาคม 2567
ขอให้ปรับปรุงการดำเนินงานของศูนย์ต้านข่าวปลอมและแก้ไขข้อมูลเท็จที่ศูนย์ฯเผยแพร่
โพสเพิ่มเติม